Authors Posts by user

user

86 POSTS 0 COMMENTS

0 1595

father1คนไทยถือว่าเป็นผู้ที่โชคดี เพราะเรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็นประมุข พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถ พร้อมด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล ทรงอุทิศพระองค์เพื่อประโยชน์สุขของชาวไทย ทรงพระราชทานโครงการนานัปการมากกว่า 2,000 โครงการ ทั้งการแพทย์สาธารณสุข การเกษตร การชลประทาน การพัฒนาที่ดิน การศึกษา การพระศาสนา การสังคมวัฒนธรรม การคมนาคม ตลอดจนการเศรษฐกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรในชนบท ทั้งยังทรงขจัด ปัญหาทุกข์ยาก ของประชาชนในชุมชนเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตรากตรำพระวรกายทรงงานอย่างมิทรงเหน็ดเหนื่อย แม้ในยามทรงพระประชวร ก็มิได้ทรงหยุดยั้งพระราชดำริเพื่อ ขจัดความทุกข์ผดุงสุขแก่พสกนิกร ในยามประเทศประสบภาวะเศรษฐกิจ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2539 เป็นต้นมา ก็ได้พระราชทานแนวทางดำรงชีพแบบ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ให้ราษฎรได้พึ่งตนเอง ใช้ผืนแผ่นดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด รู้จักอดออมไว้ใช้เมื่อยามจำเป็น มีไว้พอกินพอใช้ ถ้าเหลือก็แจกจ่ายจำหน่าย และพร้อมที่จะขยายกิจการเมื่อมีความพร้อม เมื่อมีภูมิคุ้มกันที่ดี

456ความพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแสดงออกทางชีวิตที่เรียบง่าย เป็นกันเองกันทุกคนดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ได้เล่าเรื่องน่ารัก น่ารัก ของในหลวง เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นไปทรงเยี่ยมบ้านของราษฎรผู้หนึ่งที่อีสาน ที่คณะผู้ตามเสด็จทั้งหลายออกแปลกใจในการกราบบังคมทูลที่คล่องแคล่วและใช้ราชาศัพท์ได้อย่างน่าฉงนของชาวบ้านผู้นี้
เมื่อในหลวงมีพระราชปฏิสันถารถึงการใช้ราชาศัพท์ได้ดีนี้
559000010852101จึงมีคำกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้าเป็นโต้โผลิเกเก่า
บัดนี้มีอายุมากจึงเลิกรามาทำนาทำสวนพระพุทธเจ้าข้า..”
มาถึงตอนสำคัญที่ทรงพบนกในกรงที่เลี้ยงไว้ที่ชานเรือน
ก็ทรงตรัสถามว่า เป็นนกอะไรและมีกี่ตัว
พ่อลิเกเก่ากราบบังคมทูลว่า
“มีทั้งหมดสามตัว พระมเหสีมันบินหนีไป
ทิ้งพระโอรสไว้สองตัว
ตัวหนึ่งที่ยังเล็ก ตรัสอ้อแอ้อยู่เลย
และทิ้งให้พระบิดาเลี้ยงดูแต่ผู้เดียว”
เรื่องนี้ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เล่าว่าเป็นที่ต้องสะกดกลั้นหัวเราะกันทั้งคณะไม่ยกเว้นแม้ในหลวง
อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องจริง และ ดร.สุเมธ อยู่ในเหตุการณ์ เรื่องนี้เกิดที่จังหวัดตากM10025857-12เมื่อพระเทพทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฏรตามที่ต่างๆ และได้ทรงเสด็จไปเยี่ยมประชาชนในตลาดสด และถามความเป็นอยู่กับบรรดาแม่ค้าในตลาด แต่ก็มาถึงแม่ค้าปลา ซึ่งพระองค์ทรงตรัสถามว่า “ปลาพวกนี้ขายอย่างไงจ๊ะ”
แม่ค้าตอบว่า “ที่สวรรคตแล้ว กิโลละ 40 บาท
และที่เสด็จไปเสด็จมากิโลละ 80 บาทจ๊ะ”
เหตุการณ์นี้ ทำให้ข้าราชบริพาลที่ตามเสด็จหัวเราะกันทุกคน

จากเรื่องราวที่กล่าวถึงเราเห็นความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศ์ศานุวงษ์ที่เสด็จไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านอย่างเนื่อง ๆ รวมถึงตรัสสอนให้ดำเนินชีวิตอย่างมีสติและพอเพียง โดยพระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางเพื่อให้ทุกคนดำเนินชีวิตอย่างพอประมาณ มีเหตุผล รอบคอบ มีคุณธรรม มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี และปรับตัวเพื่ออยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข  หัวใจของเศรษฐกิจพอเพียง คือ สติและปัญญา ผู้รู้จักตัวเอง ฝึกฝนตนจนเกิดปัญญา ยึดคุณธรรมเป็นหลักในการดำเนินชีวิต มีความละอายและเกรงกลัวต่อบาป มีความเมตตากรุณา ไม่เบียดเบียนใครและไม่เบียดเบียนโลก รวม ทั้งการมีปัญญารู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้เกิดผลดีทั้งต่อตนและผู้อื่น ความพอเพียงจึงเป็นพื้นฐานของการอยู่ร่วมกัน ที่ทุกคนต่างคำนึงถึง การตัดสินใจเลือกกระทำสิ่งที่ดี และหน้าที่ในการสร้างพฤติกรรมนั้นๆอยู่เสมอ จนกลายเป็นอุปนิสัยที่ดีและทำโดยอัตโนมัติ ผู้ที่มีความเป็นอยู่อย่างพอเพียง จึงเป็นผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างอย่างมีสติ มีความสุขอย่างยั่งยืน

 

0 4058

ชีวิตมนุษย์ทุกคน ย่อมพบกับปัญหาและอุปสรรค เราไม่อาจหลีกหนีปัญหาหรือความทุกข์ได้ แต่เมื่อพบกับความทุกข์เราจะมีวิธีแก้ปัญหาหรือผ่านความทุกข์นั้นไปได้อย่างไร ถ้าเรามีสติเราจะพบว่าทุกปัญหามีทางออก การมีสติจะทำให้เราค่อยๆ พิจารณาสิ่งต่างๆ อย่างละเอียด ด้วยมุมมองที่หลากหลายด้วยใจที่สงบเยือกเย็น มองเห็นวิธีแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์

สติมีความสำคัญมาก มีคำพูดเกี่ยวกับสติไว้มากมายเช่น

  • สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา
  • สติมาปัญหาหาย สติตายโชคร้ายแน่นอน
  • สติดีจะมีรอยยิ้ม สติถูกทิ่มรอยยิ้มไม่มี
  • สติดีจะมีสตางค์ สติห่างสตางค์ไม่มี
  • มีสติก่อนสตาร์ท

L1007724สังคมปัจจุบันเป็นสังคมข้อมูลข่าวสาร มีทั้งข้อมูลที่เป็นจริง และข้อมูลที่เป็นเท็จ ข้อมูลแฝงต่างๆ มากมาย การรับฟังข้อมูลข่าวสารต่างๆ จึงต้องคิดวิเคราะห์ แยกแยะ การรู้จักคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นมากสำหรับทุกยุคทุกสมัย เฉพาะอย่างยิ่งยุคปัจจุบัน ปัญหาคุณภาพของการศึกษาไทยคือนักเรียนยังขาดทักษะการคิด นักเรียนมีคะแนนน้อยกว่าเกณฑ์มาตรฐานในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ต้องใช้ทักษะกระบวนการคิด เมื่อนักเรียนขาดทักษะการคิดย่อมส่งผลให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา เช่น ปัญหาการลอกเลียนแบบพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของดาราหรือคนดัง ปัญหาการแต่งกายตามแฟชั่นจนไม่คำนึงถึงฐานะของตน ความเหมาะสมกับวัฒนะธรรมไทย ปัญหาศีลธรรมขาดจิตสำนึกความผิดชอบชั่วดี ปัญหาการใช้ความรุนแรงเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ  ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ส่งผลร้ายต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม

nownowการลอกเลียนแบบเป็นสิ่งที่ทำได้หากอยู่บนพื้นฐานของสิ่งดีงาม ถูกต้องตามหลักศีลธรรม หรือทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน เช่น การเลียนแบบคนเก่งที่ตั้งใจเรียน เลียนแบบคนดีทำประโยชน์แก่ส่วนรวม คนที่สู้ชีวิตจนประสบผลสำเร็จ เป็นต้น

การรู้จักคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก คนที่รู้จักคิดจะมีความสุข และความเจริญในชีวิต เป็นบุคคลที่มีคุณภาพของประเทศและสังคมดังนั้น ขอให้เราฝึกฝนตนเองที่จะ

  • คิดก่อนพูด
  • คิดก่อนทำ
  • คิดก่อนตัดสินใจ
  • คิดให้รอบคิด
  • คิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา
  • คิดดีถึงคนอื่น
  • คิดถึงอนาคต
  • คิดถึงผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง
  • คิดดี พูดดี และทำดีเสมอ

L10038171ตัวอย่างคนที่คิดสร้างสรรค์และนำความเจริญมาสู่สังคม เช่น โทมัส อัลวา เอดิสัน ที่ทุ่มเท คิดค้นประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าให้เราใช้ อเล็กซานเดอร์ เฟลมิ่งที่ตั้งใจสกัดเพนนิซิลลินเพื่อช่วยชีวิตผู้คนทั่วโลก สองพี่น้องตระกูลไรท์ ที่ประดิษฐ์เครื่องบินสำเร็จเป็นคนแรกของโลก สตีฟ จ็อบส์ ที่มุ่งมั่นพัฒนาระบบสัมผัสบนหน้าจอ สามารถพลิกฟื้นแอปเปิลกลับมายิ่งใหญ่ และกลายเป็นมาตรฐานแห่งโลกไอทีในยุคใหม่ได้ความสำเร็จ และที่สุดในหลวงของเราที่คิดถึงประชาชนชาวไทยเป็นที่ตั้ง ทรงทุ่มเทพระองค์ทั้งครบเพื่อความสุขของคนไทย ซึ่งชาวไทยรักและเทิดทูล ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

 

0 11733

ในทุกสังคม ทุกประเทศ เมื่อประชาชนมาอยู่ร่วมกัน ย่อมต้องมีระเบียบ แนวปฏิบัติกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางสังคม ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้ ยึดถือปฏิบัติและร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม อันจะส่งเสริมให้ทุกคนมีความรู้ ความเข้าใจในสิทธิ และบทบาทหน้าที่ทั้งของตนและของคนอื่น  ก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคม กฎเกณฑ์ของสังคมเป็นสิ่งที่สังคมได้พิจารณาแล้วว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนควรปฏิบัติเพื่อความสงบสุขของส่วนรวม เราจึงควรฝึกฝนตนเองให้มีวินัยในการปฏิบัติตามกฏของสังคมที่เรามีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น

app_full_proxyถ้าเราเป็นนักเรียน เราก็ต้องเคารพกฎของโรงเรียน โดยการแต่งกายให้ถูกระเบียบ เคารพเชื่อฟังครู ประพฤติตนให้เหมาะสมกับการเป็นนักเรียน

  • มีวินัยจราจร เช่น ในการขับรถมอเตอร์ไซค์ เราต้องสวมหมวกกันน็อค ไม่ขับย้อนศร ไม่ฝ่าไฟแดง หรือเวลาข้ามถนน ก็ต้องปฏิบัติตามกฎ คือ ข้ามทางม้าลาย หรือ ใช้สะพานลอย เพื่อความปลอดภัย
  • การไปซื้ออาหารหรือเครื่องดื่ม เราก็ต้องต่อแถว ไม่ลัดคิวหรือใช้วิธีการอื่นใดที่เป็นการเบียดเบียนคนอื่น
  • การใช้ห้องน้ำ ห้องสมุด สระว่ายน้ำ และสถานที่ต่างๆ แต่ละที่ก็มีกฎที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม เพื่อไม่ไปสร้างความเดือนร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น

แม้เราอาจจะไม่ชอบกฎบางอย่าง แต่เราต้องยอมรับและปฏิบัติตามเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมและความผาสุกในการอยู่ร่วมกัน

0 7648

277232-54976871b714cระบอบประชาธิปไตย ( Democracy ) หมายถึง รูปการปกครองที่ยึดถืออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน โดยมีลักษณะ 3 ประการคือ

1.รัฐบาลของประชาชน หมายถึง รัฐบาลจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และประชาชนสามารถเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองได้ด้วยการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง นั่นคือ ประชาชนอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของรัฐบาลซึ่งบ่งชี้ถึงมิติของการปกครองในด้านความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย(http://guru.sanook.com/3872/)

  1. รัฐบาลโดยประชาชน หมายถึง ประชาชนหรือพลเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นผู้ปกครองได้ ถ้าหากได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

3.รัฐบาลเพื่อประชาชน หมายถึง รัฐบาลจะต้องมีจุดประสงค์เพื่อความผาสุกของประชาชน มิใช่เพื่อประโยชน์ของตน ซึ่งถือเป็นประเด็นสำคัญ

4921_3_05012007014611รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับกำหนดรูปแบบการปกครองและประมุขแห่งรัฐไว้ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นการเทิดทูนพระมหากษัตริย์ คือ ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และรัฐธรรมนูญยังกำหนดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ให้เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของประชาชน โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา อำนาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการผ่านทางศาล การกำหนดเช่นนี้หมายความว่าอำนาจต่าง ๆ จะใช้ในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ ซึ่งในความเป็นจริงอำนาจเหล่านี้มีองค์กรเป็นผู้ใช้ ฉะนั้นการที่บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการผ่านทางองค์กรต่าง ๆ นั้น จึงเป็นการเทิดพระเกียรติ แต่อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่องค์กรที่เป็นผู้พิจารณานำขึ้นทูลเกล้าถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย
12986275181298627575l  พระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญของไทยแม้จะได้รับการเชิดชูให้อยู่เหนือการ เมืองและกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการในการปฏิบัติทางการปกครอง ทุกอย่าง แต่พระมหากษัตริย์ก็ทรงมีอำนาจบางประการที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชอำนาจที่ทรงใช้ได้ตามพระราชอัธยาศัยจริง ๆ ได้แก่ การแต่งตั้งคณะองคมนตรี การแต่งตั้งข้าราชการในพระองค์ และสมุหราชองครักษ์ การแก้ไขเพิ่มเติมกฏมณเทียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ การพระราชทางเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เป็นต้น

0 3754

ศีลธรรมหมายถึงสิ่งที่ดีงาม ศีลต้องอยู่ที่กาย ธรรมต้องอยู่ที่ใจ ผู้ที่มีศีลธรรมจึงหมายถึงผู้ที่มีความดีทั้งที่กายและที่ใจ อันจะเป็นเครื่องนำทางชีวิตไปสู่จุดหมาย  อาจารย์ วุฒิชัย เต็งพงศธร อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่าถ้าบุคคลใดมีศีลธรรมก็ไม่จำเป็นต้องมีบทกฎหมาย และหากกฎหมายใดละเลยหลักศีลธรรมก็ไม่จำต้องบัญญัติกฎหมาย กฎหมายที่แท้จริงก็คือเหตุผลที่ถูกต้องและจะต้องประกอบด้วยหลักศีลธรรมความยุติธรรมและความเสมอภาค เพราะนั่นคือรากฐานแห่งความยุติธรรมสำหรับมวลมนุษย์ทั้งหลาย” กฎหมายเกิดขึ้นเพราะสังคมขาดศีลธรรม ถ้าบุคคลทุกคนมีศีลธรรมอยู่ในตัวเองแล้ว ปัญหาต่างๆ ความวุ่นวายต่างๆก็จะไม่เกิด กฎหมายจึงไม่จำเป็นต้องมี เพราะสังคมไม่มีปัญหาจึงไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือมาช่วยในการแก้ปัญหา แต่ตัวสังคมเองไม่อาจหยุดยั้งปัญหาการขาดศีลธรรมของมนุษย์ได้ กฎหมายจึงต้องเกิดขึ้นมาเพื่อหยุดยั้งปัญหาการขาดศีลธรรมของมนุษย์ แต่ก็แน่นอน กฎหมายไม่สามารถทำให้คนเลวกลายเป็นคนดีได้ กฎหมายจึงไม่ใช่เป็นยาวิเศษแต่เป็นสูตรสำเร็จ ที่เป็นเครื่องมือป้องกันไม่ให้คนเลวก่อให้เกิดความเสียหายต่อสังคม เพราะฉะนั้นตัวศีลธรรมเองจึงเป็นตัวสำคัญในการก่อให้สังคมมีความสงบสุขมากที่สุด

สังคมปัจจุบันมีความวุ่นวาย เพราะคนส่วนหนึ่งเห็นแก่ตัว มนุษย์ขาดน้ำใจ ขาดการแบ่งปัน ขาดความเอื้อเฟื้อต่อคนอื่น ในขณะเดียวกันยังมีคนส่วนหนึ่งที่มีคุณธรรม จริยธรรม คิดถึงคนอื่น รักช่วยเหลือรับใช้ สร้างสังคมให้เป็นโลกที่น่าอยู่ซึ่งมีตัวอย่างมากมาย

คุณแม่เทเรซา แห่งกัลกัตตา นักบุญของผู้ยากไร้

maxresdefaultท่านได้อุทิศตนช่วยเหลือคนจน คนป่วย คนที่ใกล้จะตาย จำนวนมากมายในอินเดียและประเทศต่างๆ ทั่วโลก ท่านไม่เคยคิดถึงตนเอง แต่คิดถึงคนอื่นที่ยากจน ไม่มีโอกาส ชีวิตของท่านคือการให้ ท่านได้รับรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ในฐานะ “สำหรับการอาสาต่อสู้เพื่อลดความยากจนทุกข์ยากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการนำไปสู่ความสงบสุขและสันติ” (for work undertaken in the struggle to overcome poverty and distress, which also constitute a threat to peace.)  ปฏิเสธงานเลี้ยงฉลองที่ท่านได้รับรางวัลโนเบล และขอให้ผู้ที่ทำเค้กฉลองมาแล้ว นำเค้กไปมอบให้คนยากคนจน ท่านได้เดินทางปราศรัยในประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปัน ช่วยเหลือ และสันติ  ช่วงที่อิสราแลมีสงครามกับองค์กรปลดปล่อยปาเลสไตน์ จนเกิดการสู้รบรุนแรงในแถบเอเชียตะวันตก พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) ท่านเดินทางเข้าไปเพื่อช่วยเหลือเด็กๆ ที่ติดค้างในสถานที่ต่างๆ มาได้ 37 คน เราจึงเห็นแบบอย่างของท่านในการช่วยเหลือรับใช้ทุกคนโดยไม่หวังผลตอบแทน

 แค่ฟางเส้นเดียว

amazon box giving pink flower[FreshMaza.Info]ในหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทแห่งหนึ่งมีชาวนาคนหนึ่งเป็นคนน่ารัก และมีนิสัยโอบอ้อมอารี วันหนึ่งในขณะที่เขาเดินกลับบ้านเขาเดินสะดุดก้อนหินล้มลง เขาคว้าเศษฟางติดมือมาเส้นหนึ่งดูเหมือนว่ามันเป็นเศษฟางเล็กๆ ที่ไม่มีค่าอะไร เขาเดินทางมาเรื่อยๆพลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นแมลงปอสีสันสวยงาม เขาจึงใช้ฟางเส้นนั้นจับแมลงปอเมื่อเดินทางไปได้ครึ่งทางเขาพบแม่ลูกคู่หนึ่งเด็กคนนั้นเมื่อเห็นแมลงปอสีสวยเขาก็อยากได้ ชาวนาซึ่งเป็นคนใจดีและรักเด็กจึงมอบแมลงปอให้กับเด็ก และเพื่อตอบแทนความใจดีของเขาแม่ของเด็กชายคนนั้นจึงมอบส้มให้กับเขาสามใบ

เขาเดินทางต่อมาและพบพ่อค้าเร่คนหนึ่งหน้าตาของพ่อค้าดูอิดโรยด้วยความกระหายน้ำจนเกือบจะเป็นลม เขารู้สึกสงสารพ่อค้ามากจึงมอบส้มทั้งสามใบให้พ่อค้าได้รับประทานเพื่อดับความกระหายน้ำพ่อค้ารู้สึกประทับใจในน้ำใจของชาวนามาก จึงได้มอบผ้าให้กับเขาสามผืนเมื่อใกล้จะถึงบ้านเขาพบหญิงสาวแปลกหน้า แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่มีรอยปะไปทั่วตัวเขารู้สึกสงสารหญิงคนนั้น จึงมอบผ้าสามผืนที่เขาได้มาแก่หญิงผู้ยากจนคนนั้นเขาไม่ทราบว่า อันที่จริงแล้วหญิงสาวคนนั้น คือเจ้าหญิงที่ปลอมตัวมาเพื่อสืบหาคนที่มีน้ำใจดี จะได้ประทานรางวัลให้กับคนๆ นั้นเจ้าหญิงได้ประทานเงินทองให้กับเขามากมายชายชาวนานำเงินนั้นมาซื้อที่ดินได้หลายแปลง และด้วยความใจกว้างเขาแบ่งที่ดินให้กับทุกๆ คนในหมู่บ้าน ได้ทำมาหากินกันด้วยความขยันมันจึงเกิดผลผลิตมากมาย หมู่บ้านนี้จึงกลายเป็นหมู่บ้านที่ร่ำรวยและจุดเริ่มต้นแห่งความร่ำรวยนี้ก็มาจากฟางเส้นเดียว

ชวนรำพึง:

หลายๆ ครั้ง ความดีเล็กๆ น้อยๆก็เป็นบ่อเกิดแห่งคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ ความมีน้ำใจความเห็นใจที่ดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนหนึ่งก็อาจจะให้ผลดีที่เราคิดไม่ถึงเช่นกันคำพูดที่สร้างสรรค์เพียงคำเดียวอาจจะเสริมสร้างสังคมและให้กำลังใจแก่คนที่อยู่รอบข้างได้มากมายและเช่นเดียวกันชีวิตอันงดงามของคนบางคนก็อาจถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดีด้วยคำพูดหรือ การกระทำที่คนที่พูดหรือทำนั้นอาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย

 เด็ก ๆ ก็มีน้ำใจ

123

ตัวอย่างเด็กอายุ 4 ขวบ สละเงินค่าขนมของตนเพื่อซื้อขนมปังให้คนจรจัด

เว็บไซต์ เมโทร ของอังกฤษ เผยแพร่เรื่องราวที่น่าประทับใจของ “โลลา″ เด็กหญิงตัวน้อยวัย 4 ขวบ ที่เห็นชายจรจัดนั่งหนาวสั่นเดียวดายอยู่ข่างถนนจึงตัดสินใจใช้เงินค่าขนมซื้อของกินมาเลี้ยง

แม่ของโลลาให้สัมภาษณ์ต่อเมโทรว่า “ฉันพาโลลาไปดูงานรำลึกทหารผ่านศึกที่หอพอร์ทเมาท์ ไกด์ ฮอลล์ ระหว่างเดินทางกลับ โลลาสังเกตเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่พื้นหน้าร้านทำเล็บคนเดียว เธอจึงถามว่าฉันว่า “เขาไปทำอะไรตรงนั้น” ฉันตอบว่า “เพราะเขาไม่มีบ้านอยู่” โลลาเห็นคนเดินผ่านไปมาให้เงินเขา เธอเลยขอฉันว่า “อยากทำบ้าง” ฉันท้วงไปว่า “อย่าเลย บางทีเขาจะเอาเงินไปใช้ในทางไม่ถูกไม่ควรได้”

จากนั้น โลลาชี้นิ้วไปที่ร้านเบเกอรี่ที่อยู่ใกล้ๆ แล้วบอกฉันว่า “งั้นถ้าหนูซื้อขนมให้เขานะ เขาจะได้ไม่เอาเงินไปใช้ในทางที่ผิดได้” ฉันก็อนุญาต โลลาจึงไปซื้อขนมปังไส้กรอกมา เอาไปยื่นให้ชายจรจัด

เมื่อฉันอธิบายเหตุผลให้คนจรจัดฟังว่า ลูกสาวอยากจะให้ขนมปังนี้เพราะสงสาร เห็นว่าเขากำลังหนาว ชายจรจัดได้กล่าว “ขอบคุณ” โลลา พร้อมกับน้ำตาคลอด้วยความซึ้งใจ

 

0 5391

_02การที่ประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้านั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างแต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพของบุคคลในชาติ หรือทรัพยากรบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ สิ่งที่แสดงถึงความเป็นชาติได้ดีที่สุดคือวิถึชีวิตหรือการประพฤติปฎิบัติตนของคนที่เราเรียกว่าวัฒนธรรม ซึ่งหล่อหลอมให้คนในชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

2

ประเทศไทยมีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี แนวปฎิบัติที่เป็นเอกลักษณ์ งดงาม และได้รับการยอมรับจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก สำหรับความหมายของวัฒนธรรม หมายถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดี วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่หล่อหลอมขึ้น  ได้รับการยอมรับ มีการพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง และรักษาไว้ให้เจริญงอกงาม (พระราชบัญญัติ วัฒนธรรมแห่งชาติพุทธศักราช 2485 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2486)

วัฒนธรรมไทยที่สำคัญได้แก่

  1. ภาษาไทย เรามีภาษาและตัวอักษรเป็นของตนเองมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยใน พ.ศ.1826 และได้มีการแก้ไขปรับปรุงและพัฒนาเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับ จนกลายเป็นภาษาไทยในที่สุด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้
  1. ศาสนา ชาวไทยส่วนใหญ่จะนับถือพระพุทธศาสนา ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาประจำชาติ และถูกนำมาเป็นหลักในการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ มีพื้นฐานในพุทธศาสนา กระไรก็ตามสังคมไทยให้อิสรภาพแก่ทุกศาสนา ทำให้ทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
  2. การแต่งกาย การแต่งกายของคนไทยมีแบบฉบับ ตามสมัยและโอกาส โดยมีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบันนี้ แม้ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะแต่งกายตามสมัยนิยม แต่เมื่อมีงานพิธีกรรมหรือพิธีสำคัญคนไทยมักจะแต่งการแบบไทยดั้งเดิมมีการรณรงค์ให้ใส่ผ้าไทย หรือชุดไทย หรือรณรงค์ให้ใส่ผ้าไทยในชีวิตประจำวัน ซึ่งนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ชาติอื่นให้ความชื่นชม
  1. ศิลปกรรม ถือเป็นภูมิปัญญาไทยที่สำคัญ โดยเป็นผลงานที่สร้างขึ้นเพื่อความสวยงามก่อให้เกิดความสุขทางใจ ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากพุทธศาสนา และเป็นการแสดงความเคารพและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ได้แก่ ผลงานที่ปรากฏตามวัดวาอารามต่างๆ เรือนไทยที่มีลักษณะเฉพาะพิเศษ ศิลปกรรมไทยที่สำคัญได้แก่ สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม นาฏศิลป์ ดุริยางคศิลป์ วรรณกรรมเป็นต้น (http://www.kullawat.net/civic/)

p12วัฒนธรรมไทยเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่า การรักษาวัฒนธรรมไทยถือเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ซึ่งแสดงออกโดยการอนุรักษ์สืบทอดภูมิปัญญาไทย ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปะและวัฒนธรรม ใช้ภาษาไทยในการสื่อสารได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ภาคภูมิใจ และเห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย

0 6543

Flowers-Wallpapers-6

ผู้ที่ใฝ่เรียนรู้  คือ ผู้ที่ เพียรพยายามตั้งใจศึกษาเล่าเรียน และเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นผู้ที่แสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องทั้ง จากแหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกโรงเรียน สามารถเลือกใช้สื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสม มีการบันทึกความรู้ นำสิ่งที่เรียนรู้มาวิเคราะห์  สรุปประเด็น แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่นโดยการ ถ่ายทอด เผยแพร่ แบ่งปันและนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

34-DBosco-e-giovani-NMusioบุคคลที่นับเป็นตัวอย่างอันดีเยี่ยมในการใฝ่เรียนรู้คือ นักบุญยอห์น บอสโก ในสมัยของท่านการศึกษาเป็นเรื่องที่คนธรรมดาสามัญไม่สามารถเขาถึงได้ง่ายๆ นอกจากคนที่มีฐานะเศรษฐกิจดี อยู่ในสังคมชั้นสูงเท่านั้นที่จะสามารถเข้าถึงการศึกษา แต่นักบุญยอห์น บอสโก ก้าวพ้นอุปสรรคเรื่องดังกล่าว แม้ท่านจะเป็นเพียงเด็กกำพร้า ฐานะยากจน ต้องทำงานในสวนตลอดวันในสวน แต่ท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่เรียน ท่านจะใช้เวลาว่างจากการทำงานในสวนองุ่นหรือการเลี้ยงวัว เพื่ออ่านหนังสือ บางครั้งท่านต้องทะเลาะกับพี่ชายซึ่งมีความคิดว่าชนชั้นแรงงานไม่ต้องเรียนหนังสือ แค่ทำงานหนักก็พอ ความปรารถนาใฝ่เรียนรู้ทำให้นักบุญยอห์นต้องออกจากบ้านและไปรับจ้างทำงานเพื่อมีรายได้สำหรับศึกษาเล่าเรียน ท่านจะต้องเดินวันละหลายกิโล ต้องฝ่าลมฝนหิมะ ต้องเจอกับอุปสรรคและความยากลำบากต่างๆ เพื่อจะได้ศึกษาเล่าเรียน ด้วยความมุ่งมั่นใฝ่รู้ ความช่วยเหลือของพระ กำลังใจจากคุณแม่และคนอื่นๆ  ทำให้ยอห์นสามารถประสบผลสำเร็จในการศึกษา ท่านสอบได้อันดับต้นๆ ของห้อง และเรียนข้ามชั้นเพราะความสามารถทางการเรียน แต่สิ่งที่สำคัญคือเป้าหมายของการเรียนรู้ของท่าน เพื่อช่วยเหลือรับใช้คนอื่น โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ยากจนและถูกทอดทิ้ง ท่านได้บวชเป็นพระสงฆ์ ได้เปิดบ้านพักสำหรับเยาวชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเรียนรู้ ฝึกอาชีพ อยู่ในสถานที่ปลอดภัย และได้รับการอบรมที่ดี เพื่อเติบโตเป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม

To-be-successful-the-first-thing-to-do-is-to-fall-in-love-with-your-work.2หากเปรียบเทียบชีวิตของคุณพ่อบอสโกกับเราในปัจจุบัน เราพบว่าปัจจุบันเราสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ง่ายดาย มีสถานศึกษามากมาย มีความสะดวกสบายในการเดินทาง เราสามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ได้ง่ายและสะดวกผ่านสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เราจึงต้องยิ่งเป็นผู้ที่ใฝ่เรียนรู้ ใช้สื่อและแหล่งเรียนรู้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสร้างสรรค์

แหล่งความรู้ที่เป็นประโยชน์เช่น

http://www.scimath.org/ebooks เป็นเวปของ สสวท นับเป็นคลังความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์

https://www.britishcouncil.or.th/เป็นเวปภาษาอังกฤษของบริติส

http://www.engvid.com/เวปภาษาอังกฤษแบบห้องเรียนออนไลน์

http://www.trueplookpanya.com/เวปของทรูที่รวบรวมทุกวิชา

0 8493

ประวัติศาสนาอิสลาม

     ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่มีผู้นิยมนับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่ง เป็นศาสนาที่แพร่หลาย ในเอเชียตะวันตก หรือตะวันออกกลาง มีลักษณะ เป็นศาสนาเอกเทวนิยม ซึ่งนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว  เป็นศาสนา สายเดียวกับศาสนายิว (ยูดาย) และศาสนาคริสต์

     อิสลาม  แปลว่า  การนอบน้อม  สันติ  การยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ศาสนาอิสลาม จึงหมายถึง การนอบน้อตน ต่อพระอัลเลาะห์ เพียงพระองค์เดียวอย่างสิ้นเชิง  หัวใจของศาสนาอิสลาม ก็คือ การประกาศเปิดเผยความเป็นเอกภาพ  ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับพระอัลเลาะห์ (พระเจ้า) เน้นการมอบตัวต่อพระประสงค์ ของพระอัลเลาะห์ ผู้นับถืออิสลาม  เรียกว่า “มุสลิม”

ศาสนาอิสลามถือว่าศาสดาเป็นมนุษย์ธรรมดา  มิได้เป็นบุตรของพระเจ้า ศาสดาของศาสนาอิสลา คือ ท่านะบีมะหะหมัด หรือ มุฮำหมัด หรือ มูฮำหมัด หรือโมฮำหมัด  ส่วนคำว่า “นะบี” แปลว่า ผู้รับโองการจากพระเจ้า) ท่านศาสด เกิดที่เมืองเมกกะ  ประเทศอาหรับ (ปัจจุบัน คือ ประเทศซาอุดีอาระเบีย) เกิดวันที่  29  สิงหาคม  พ.ศ.  1113  เป็นบุตรของท่านอับดุลเลาะห์และนางอามีนะฮ์  ท่านกำพร้าบิดามารดามาแต่เยาว์วัย  เมื่ออายุ  25  ปี ได้แต่งงานกับหญิงหม้าย อายุ  40  ปี  จากนั้น ท่านได้รับอาลีบุตรชายของลุงมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม     ศาสนาอิสลาม ไม่มีพระหรือนักบวช แต่มี “อีหม่าม” ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำ ในการนมัสการพระอัลเลาะห์ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นคนกลาง ในการติดต่อระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์  ศาสนาอิสลามยังมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากศาสนาอื่น คือ นอกจากจะมีการสอนเรื่องจริยธรรมเหมือนกับศาสนาอื่นแล้ว ยังเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ  และวัฒนธรรมด้วย  เช่น  บทว่าด้วยการลงโทษทางอาญา  การรับมรดก  การหย่า  การพาณิชย์  เป็นต้น

     เมื่อท่านศาสดาอายุได้  40  ปี  ได้เห็นสังคมอาหรับมีแต่ความเสื่อมโทรม ผู้คนมิได้ประพฤติตนอยู่ศีลธรรม  ท่านศาสดา เป็นคนช่างคิด  จึงมักออกไปหาความ วิเวก  ณ ถ้ำฮิรอฮ์  ห่างจากเมืองเมกกะ  3  ไมล์  คืนหนึ่งของเดือนรอมาฎอน เทพญิบรออิล ซึ่งเป็นทูตสวรรค์ ได้ยื่นโองการสวรรค์ให้แก่ท่าน  ท่านจึงคิดว่า ตนเองจิตฟั่นเฟือนไห  ต่อมาได้รับโองการสวรรค์อีก ท่านจึงได้เริ่มประกาศศาสนา

     ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า “แท้จริงศาสนาแห่งอัลเลาะห์นั้น คือ ศาสนาอิสลาม” แสดงว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า  ไม่ใช่ศาสนา ที่มนุษย์ตั้งขึ้น  คำสอนในศาสนาอิสลา ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดามูฮำหมัด พระศาสดามูฮำหมัด มิได้เป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้น  พระองค์ เป็นเพียงผู้รับเอา ศาสนาอิสลาม อันเป็นของพระอัลเลาะห์ มาประกาศเผยแพร่แก่มนุษยชาติเท่านั้น

     ศาสนาอิสลามมีคำสอนว่า  พระอัลเลาะห์ ทรงสร้างโลก และสรรพสิ่งในจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์คู่แรกของโลก คือ อาดัมและเฮาวาฮ์ (อาดัมกับอีวา หรืออีฟ ในศาสนายิวและศาสนาคริสต์) พระองค์ได้ตรัสว่า “โออาดัม  เจ้าและพรรยาของเจ้า จงพำนักอยู่ในสวรรค์ และเจ้าทั้งสองจงกินของในนั้นได้อย่างสมบูรณ์ และไม่ต้องหวงห้าม  ตามที่เจ้าทั้งสองต้องการ  แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ เพื่อเจ้าทั้งสอง จะได้ไม่เป็นพวกทรยศ”  แต่แล้วมารร้าย ก็ได้ใช้อุบายหลอกลวง ให้มนุษย์ทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของพระผู้เป็นเจ้า  พระอัลเลาะห์ จึงทรงขับไล่ อาดัม และเฮาวาฮ์ไม่ให้อยู่ในสวรรค์  ให้ลงมาอยู่  ณ หน้าแผ่นดิน พระผู้เป็นเจ้า ทรงส่งพระศาสนทูต (รอซูล) ลงมาสั่งสอนมนุษย์เป็นครั้งคราว ผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากพระอัลเลาะห์ให้มาเป็นพระศาสนทูต  นับแต่อาดัม ซึ่งถือว่าเป็นพระศาสนทูต คนแรก จนถึงพระศาสดามูฮำหมัด ศาสดาคนสุดท้าย มีจำนวนมากด้วยกัน  แต่ที่ระบุชื่ออยู่ในพระคัมภีร์อัลกรุรอานนั้น มี 25 ท่าน ในจำนวนนี้ ที่จัดว่าเป็น พระศาสนทูต  มี  5  ท่าน คือ

  1. นูห์  หรือโนอา
  2. อิบรอฮิม หรืออับราฮัม
  3. มูซา หรือโมเสส (ศาสดาของศาสนายิว)
  4. ฮีซา หรือเยซู (ศาสนดาของศาสนาคริสต์
  5. มูฮำหมัด (ศาสดาของศาสนาอิสลาม)

     ศาสนาอิสลาม ยอมรับคัมภีร์โตราห์หรือคัมภีร์เก่าของยิว ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า ประทานแก่พระศาสดามูซา (โมเสส)  และเรียกคัมภีร์โตราห์ว่า “พระคัมภีร์เตารอด” และยอมรับคัมภีร์พระคริสต์ธรรมใหม่  เฉพาะ  4  เล่มแรก ที่เรียกว่า Gospel (พระวรสาร) ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า ประทานแก่พระศาสดาอีซา (เยซู) และเรียกคัมภีร์ ของคริสต์ว่า “พระคัมภีร์อินญีล” ดังปรากฏ ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่ 3 : 3 ว่า พระองค์ทรงประทานคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ให้ทยอยลงมายังเจ้าโดยสัจธรรม เป็นสิ่งยืนยันคัมภีร์ ที่มีมาก่อน และพระองค์ได้ประทาน (คัมภีร์) เตารอด และอินญิล ลงมาเพื่อกาลก่อน เป็นสิ่งชี้นำแก่มวลมนุษยชาติ และพระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์ จำแนก (ความจริงออกจากความทุกข์) คือ คัมภีร์อัลกุรอาน

การประกาศศาสนาในนครเมกกะ ช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก ต้องทำกันอย่างเร้นลับ และเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะคนบางกลุ่มเสียผละประโยชน์ และบางคนไม่พอใจท่านศาสดา ที่สอนว่า การบูชารูปเคารพ เป็นสิ่งงมงาย ท่านนะบี จึงถูกปองร้าย ท่านจึงอพยพมาอยู่เมือง ยัทริบ (ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อเมืองเมดินา) การอพยพครั้งนี้ ตรงกับวันที่ 2 กรกฎาคม  พ.ศ. 1165 (ค.ศ. 622) ถือเป็นการเริ่มต้นของฮิจเราะห์ศักราชอิสลาม (ซึ่งก็คือศักราชของอิสลาม) แม้จะพำนักที่เมืองเมดินา  แต่กองทัพเมืองเมกกะ ก็ยังรุกรานอยู่ ต่อมาท่านนะบี ได้เป็นผู้ปกครองเมืองเมดินา สงครามระหว่างเมืองเมกกะกับเมืองเมดินา ก็เกิดขึ้นหลายครั้ง  จนกระทั่ง  พ.ศ. 1173  ท่านได้ยาตราทัพเข้าเมืองเมกกะ โดยไม่มีการสู้รบ ศาสนาอิสลาม จึงได้สถาปนาขึ้นในเมืองเมกกะ และสถาปนา อาณาจักรของชาวอาหรับขึ้น ท่านนะบี ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 1175  ตรงกับฮิจเราะห์ศักราชที่  11  รวมอายุ  63  ปี  และเผยแพร่ศาสนาอิสลามได้ 23 ปี     ศาสนาอิสลา ถือว่า โมเสสและพระเยซู เป็นผู้ที่พระอัลเลาะห์ ทรงใช้ให้มาก่อน และถือว่าพระศาสดามูฮำหมัด ที่ทรงใช้ให้มาในคราวหลังนี้ เป็นผู้นำพระคัมภีร์ ฉบับสุดท้าย  เป็นพระคัมภีร์ที่ประมวลเอาเนื้อความแห่งพระคัมภีร์ต่าง ๆ  ที่ประทาน แก่ศาสนทูตในอดีตไว้ด้วย  คัมภีร์อัลกุรอาน จึงเป็นพระคัมภีร์ที่สมุบูรณ์ ไม่มีการแก้ไข

     ท่านะบีมูฮำหมัด เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย  ไม่ถือยศศักดิ์  อยู่ง่ายกินง่าย (แม้กระทั่งเสื้อผ้าและรองเท้า จะซ่อมแซมเอง) อดทน มีจิตใจเข้มแข็ง  รักความยุติธรรม มีบุคลิกน่าเลื่อใส  ฯลฯ  จากคุณสมบัติที่ดีเลิศ  จึงทำให้การ เผยแพร่ศาสนาอิสลาม เป็นไปอย่างราบรื่น  แม้จะมีอุปสรรคนานัปการก็ตาม

0 21079

ประวัติความเป็นมาของศาสนาและผู้ก่อตั้งศาสนา

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่เกิดขึ้นในทวีปเอเชีย และเผยแพร่อย่างรุ่งโรจน์ในโลกตะวันตก ประวัติศาสตร์ของศาสนามีความยาวนานสืบทอดมาแต่ศาสนายิว แต่ก็ได้รับการต่อต้านจากศาสนายิวในช่วงของการเผยแพร่ศาสนา คือ ในสมัยที่พระเยซูออกสั่งสอนประชาชน อย่างไรก็ตามศาสนาคริสต์ยังคงยืนหยัดต่อสู่กระแสต้านของสังคมตะวันตกในสมัยนั้นมาได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้เพราะ นักเผยแพร่ศาสนาคริสต์มีจิตใจศรัทธาพระเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความ เสียสละ จึงประสบความสำเร็จอย่างสูง ทำให้พวกตะวันตกในสมัยต่อมาได้เข้าสู่กระแสศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้า

ประวัติศาสตร์ของศาสนาคริสต์มีความสัมพันธ์กับศาสนายิวอย่างใกล้ชิด จนเป็นที่ยอมรับกันว่าทั้งสองศาสนานี้มีลักษณะเป็นศาสนาแห่งประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ และไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เป็นผู้กำหนด แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่พระเจ้าได้เข้ามาเกี่ยวข้องและกำหนดมรรคาแห่งชีวิตที่ทุกคนจะต้องดำเนินไปอย่างถูกต้อง บุคคลในประวัติศาสตร์ของทั้งสองศาสนานี้ อาทิเช่น อับราฮัม (Abraham) โยเซฟ (Joseph) โมเสส (Moses) และกษัตริย์โซโลมอน (Solomon) ฯลฯ ล้วนเป็นศาสดาที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดให้เป็นไปตามแผนที่พระองค์ได้วางไว้เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์ให้ถึงความรอด (Salvation) คัมภีร์ไบเบิลทั้งสองภาค พันธสัญญาจึงเป็นคัมภีร์ที่มีความสำคัญยิ่ง โดยเฉพาะในด้านประวัติศาสตร์ของทั้งสองศาสนา

ประวัติศาสตร์ศาสนายูดายของพวกยิว ทำให้เราเห็นว่า พวกเขามีความผูกพันกับ พระเจ้ามาก เพราะพวกเขาเชื่อว่าตนเองเป็นชาติที่พระเจ้าได้เลือกให้เป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต พระองค์ได้สัญญากับพวกเขา ที่จะให้ดินแดนที่เต็มไปด้วยน้ำผึ้งและน้ำนม พวกเขาจึงเดินทางเร่ร่อนเพื่อจะหาดินแดนที่พระเจ้าได้สัญญาไว้นี้ ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานในการเดินทางของพวกยิว พวกเขาต้องประสพกับความทุกข์ยาก การกดขี่ และภัยจากสงครามของชนชาติ มหาอำนาจ ทำให้พวกเขาต่างรอคอยพระเมสสิยาห์ที่พระเจ้าจะส่งมาเพื่อช่วยเหลือพวกเขาให้พ้นทุกข์ และเป็นผู้ที่จะนำสันติสุขที่แท้จริงมาสู่พวกเขา

ศาสดาประกาศกหลายท่านได้ทำนายเกี่ยวกับการมาของ พระเมสสิยาห์ ยิ่งทำให้ชาวยิวมีความหวังมากขึ้น แม้ในปัจจุบันนี้ชาวยิวในศาสนายูดายยังคง รอคอยอยู่ แต่สำหรับชาวคริสต์พระเมสสิยาห์ คือ พระเยซูคริสต์ (Jesus Christ) บังเกิดขึ้นมาในตำบลเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อเบธเลเฮม(Bethlehem)ในแคว้นยูดาห์ ตรงกับปีพุทธศักราช 543วันที่บังเกิดขึ้นไม่มีการบันทึกแน่นอน แต่ศาสนจักรได้กำหนดเอาวันที่ 25 ธันวาคม ของ(คาทอลิก) ของออร์โธด็อกซ์ กำนดเอาวันที่ 7 มกราคม ของทุกปี เป็นวันเริ่มคริสตศักราชที่ 1 มารดามีนามว่า มารีอา (Maria) ชาวคริสต์เชื่อกันว่า นางมารีอานั้นตั้งครรภ์ไม่เหมือนสตรีอื่น เพราะเป็นการตั้งครรภ์โดยอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า ฉะนั้นพระเยซูจึงเป็นบุตรของพระเจ้า ส่วนโยเซฟ (Joseph) นั้นเป็น บิดาเลี้ยงที่มีสายเลือดสืบมาแต่กษัตริย์ดาวิด

พระเยซูในวัยเด็กนั้นมีจิตใจที่ใฝ่ในธรรม มีความชอบใจที่จะพูดถึงเรื่องธรรมกับ นักศาสนา ครั้นมีอายุได้ 30 ปี จึงรับบัพติศมา (Baptism) หรือการรับศีลล้างบาปจากยอห์น (John) ซึ่งเป็น ศาสดานักบุญในสมัยนั้น การรับศีลล้างบาปนี้กระทำที่แม่น้ำจอร์แดน ต่อมาพิธีนี้ได้กลายเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ ของชาวคริสต์ทุกคนที่จะต้องกระทำเพื่อประกาศตนเป็นคริสต์ศาสนิกชน

หลังจากนั้นพระเยซูได้ออกเทศนาทั่วประเทศเพื่อประกาศ “ข่าวประเสริฐ” อันเป็นหนทางแห่งความรอดพ้นจากบาปไปสู่ชีวิตนิรันดร์ การประกาศศาสนาของพระเยซูนั้นไม่ใช่เพื่อล้มล้างศาสนายูดาย แต่เป็นการปฏิรูปศาสนาเดิมให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยเน้นความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ในขณะนั้นได้มีผู้สนใจคำสอนของพระเยซู แต่ส่วนมากเป็นชนชั้นชาวบ้าน ที่ยากจนและชาวประมง พระเยซูได้คัดเลือกสาวกจากบุคคลเหล่านี้ได้ทั้งหมด 12 คน

สาวกทั้ง 12 คนนี้ ได้ติดตามรับใช้พระเยซูอย่างใกล้ชิดเพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่กระนั้นก็ยังมีสาวกที่มีจิตใจดื้อดึง คือ ยูดาส อิสคาริออท (Judas Iscariot) ยอมทรยศเพื่อเห็นแก่เงินสินบน ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากคำสอนของพระเยซูมีส่วนทำให้ผู้นำศาสนา ยูดาย ขุนนางและคน ร่ำรวยบังเกิดความไม่พอใจ เพราะถูกตำหนิจึงโกรธแค้นคิดหาทางทำร้าย ด้วยการจับตัวไปขึ้นศาลของเจ้าเมืองชาวโรมัน โดยยูดายรับอาสาชี้ตัวพระเยซู เมื่อวันที่ผู้นำศาสนา ยูดายมาจับตัวพระเยซูไป สาวกทั้ง 11 คน ได้รีบหลบหนีทิ้งให้พระเยซูถูกจับไปลงโทษ โดยการตรึงกับไม้กางเขนพระเยซูถูกทรมานอย่างโหดร้ายทารุณจนสิ้นพระชนม์ในขณะที่มีพระชนมายุได้ 33 ปี เท่านั้น จึงใช้เวลาประกาศศาสนาเพียง 3 ปี

ชาวคริสต์เชื่อกันว่าหลังจากที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์ไป 3 วันแล้วได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง โดยปรากฏแก่สาวกทั้ง 11 คน พวกเขาได้ทดสอบพระเยซูหลายครั้งจนมั่นใจว่าการฟื้นคืนชีพของพระเยซูนั้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแต่เป็นจริง ประกอบกับการเทศนาสั่งสอนย้ำให้สาวกทั้งหลายมีความเข้าใจในพระคัมภีร์ พวกเขาทั้ง 11 คน ได้กลับไปกรุงเยรูซาเล็ม จึงร่วมกันอธิษฐานอย่างขะมักเขม้น นับแต่นั้นมาอัครสาวกทั้ง 11 คน และมัทธีอัส (Matthias) ซึ่งได้รับเลือกเข้ามาในภายหลังรวมเป็น 12 คน ได้ช่วยกันเผยแพร่ศาสนาอย่างมั่นคงทำให้มีผู้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากมาย แต่ในขณะเดียวกันการเผยแพร่ศาสนามีความลำบากเป็นอย่างมาก เพราะถูกต่อต้านอยู่เสมอจากพวกที่นับถือศาสนายูดาย

ในบรรดาสาวกของพระเยซูนักบุญเปโตร (Petro) ได้รับการแต่งตั้งจากพระเยซูให้เป็น หัวหน้าโดยนัยนี้ท่านจึงเป็นผู้นำสูงสุดของศาสนาคริสต์เป็นคนแรก นักบุญเปโตรได้เผยแพร่ศาสนาถึงกรุงโรม และได้เลือกกรุงโรมเป็นศูนย์กลางการดำเนินงานของศาสนจักร ในบั้นปลายชีวิตของท่านนั้นได้ถูกพวกทหารโรมันจับทรมานและประหารชีวิต

ความเจริญของศาสนาคริสต์ได้มีมายาวนาน จนกระทั่งถึงยุคล่าอาณานิคมของพวกจักรวรรดิ์นิยมชาวยุโรปและอเมริกัน ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 ศาสนาคริสต์ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในประเทศต่าง ๆ ที่นักล่าอาณานิคมเหล่านี้ไปถึง ทำให้คริสต์ศาสนิกชน มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นทั้งในทวีปยุโรป อาฟริกา อเมริกา เอเชีย และออสเตรเลีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยได้มีนักสอนศาสนาชาวโปรตุเกสและสเปนเข้ามาเผยแพร่ โดยเดินทางมาพร้อมกับพวกทหารและพ่อค้าของประเทศเหล่านั้น ทำให้มีคนไทยนับถือศาสนาคริสต์กระจัดกระจายไปทั่วประเทศ

คัมภีร์ของศาสนาคริสต์

ศาสนาคริสต์และศาสนายูดาย ต่างให้ความเคารพในคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยถือว่าเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นพระวาจาของพระผู้เป็นเจ้า ตลอดจนหนทางแห่งความรอดจากทุกข์ทั้งปวง ความหมายของ “ไบเบิล” (Bible) คือ “หนังสือหลายเล่ม ชุดหนังสือ” เพราะเป็นความหมายที่ได้มาจากศัพท์ภาษาละตินและภาษากรีก คือ “บีบลีอา″ (Biblia) ซึ่งเป็นพหูพจน์ของ “บีบลีออน” (Biblion) แต่ภาษาอังกฤษใช้ไบเบิล (Bible) และการที่เรียกว่าไบเบิลนี้ อาจเป็นเพราะคัมภีร์ไบเบิลประกอบด้วยหนังสือหลายเล่มแล้วนำมารวมเป็นเล่มเดียวกัน ในเล่มเดียวกันนี้ต่อมาแบ่งเป็นสองภาค คือ ภาคพันธสัญญาเดิม (The Old Testament) ซึ่งเขียนเป็นภาษาฮิบรูเกือบทั้งหมด มีบางส่วนที่เขียนเป็นภาษาอารามาอิคและภาษากรีก ไบเบิลในภาคนี้เป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับศาสนายูดายและศาสนาคริสต์ จึงเป็นที่ยอมรับของทั้งสองศาสนานี้ว่า มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นหลักสำคัญในการดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องสมบูรณ์

1. คัมภีร์เก่า ( Old Testament ) หรือพันธสัญญาเดิมเป็นบันทึกเรื่องราวก่อนพระเยซูทรงประสูติ

2. คัมภีร์ใหม่ ( New Testament ) หรือพันธสัญญาใหม่เป็นบันทึกเรื่องราวหลังจากที่พระเยซูทรงประสูติ

ในภาคพันธสัญญาเดิมคริสเตียนออร์โธด็อกซ์นี้ประกอบไปด้วยข้อเขียนต่าง ๆ ทั้งหมด 46 เล่ม (แต่ในคริสต์ศาสนาโปรเตสแตนต์หลายนิกายยอมรับเพียง 39 เล่ม) สำหรับภาคพันธสัญญาใหม่ (The new Testament) เป็นส่วนที่ยอมรับกันในหมู่ชาวคริสต์เท่านั้น ประกอบไปด้วยหนังสือหรือข้อเขียน27 เล่ม ซึ่งเป็นบันทึกประวัติและคำสอนของพระเยซูที่เรียกว่า “พระวรสาร” (The Gospels) มีจำนวน 4 เล่ม หนังสือกิจการอัครธรรมทูต 1 เล่ม จดหมายของบรรดาสาวกถึงคริสตชนในที่ต่าง ๆ 21 เล่ม และหนังสือวิวรณ์ 1 เล่ม

พระวรสาร 4 คัมภีร์ (The Gospels)

คัมภีร์ไบเบิลในส่วนที่เป็นพระวรสาร 4 คัมภีร์ เป็นหนังสือที่มีคนอ่านมากที่สุดและ มีผู้วิจารณ์กันมากที่สุด ซึ่งมีดังนี้คือ

1. พระวรสารของนักบุญมัทธิว (มธ.) มีจำนวน 28 บท

2. พระวรสารของนักบุญมาระโก (มก.) หรือมาร์ค (Mark) มีจำนวน 16 บท

3. พระวรสารของนักบุญลูกา (ลก.) หรือลูค (Luke) มีจำนวน 24 บท

4. พระวรสารของนักบุญยอห์น (ยน.) มีจำนวน 21 บท

เนื้อหาในพระวรสารเกี่ยวกับการเทศน์สอนสาวก เพื่อยืนยันสิ่งที่พวกเขาได้ประสบมาในขณะที่มีชีวิตอยู่ร่วมกับพระเยซู และยืนยันว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์บุตรของพระเจ้า ดังนั้นพระวรสารทั้ง 4 เล่มนี้ จึงเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับพระชนม์ชีพ และคำสอนของพระเยซูที่ไม่ธรรมดาเหมือนหนังสือประวัติบุคคลทั่ว ๆ ไป แต่เป็นหลักฐานยืนยันและพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริง

พระวรสารทั้ง 4 เล่มนี้ เฉพาะของนักบุญมัทธิวที่เขียนด้วยภาษาอารามาอิค (Aramaic) ถูกยกย่องให้เป็นเล่มแรก ส่วนฉบับปัจจุบันที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลนั้น ไม่ใช่ฉบับเดียวกับที่ใช้ภาษาอารามาอิคแต่เป็นฉบับที่มีผู้เรียบเรียงขึ้นใหม่ โดยนำเอาฉบับที่เป็นภาษากรีกมารวมกับฉบับของนักบุญมัทธิว และของนักบุญมาร์คหรือมาระโก รวมทั้งคนอื่น ๆ ที่ไม่ปรากฏนาม ทั้งหมดนี้ถูกเรียบเรียงใหม่แต่ยังคงเรียกว่าพระวรสารของนักบุญมัทธิว ในพระวรสารเล่มนี้ได้กล่าวถึงกำเนิดของพระเยซู การเทศนาสั่งสอนโดยเฉพาะ “การเทศนาบนภูเขา″ (Sermon on the Mount) ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เป็นแถลงการณ์ฉบับแรกของพระเยซูที่ประกาศโครงการปฏิรูปแนวทางดำเนินชีวิตของมนุษย์ และเชื่อกันว่าเทศนาบทนี้เป็นตอนที่ไพเราะที่สุดในงานนิพนธ์ของนักบุญมัทธิว

สำหรับพระวรสารของนักบุญมาระโกหรือมาร์ค (Mark) นั้น มีเนื้อหาที่เน้นเฉพาะการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระเยซูมากกว่าเน้นเสนอคำสอน

ส่วนพระวรสารฉบับของนักบุญลูกาหรือลุค (Luke) เป็นพระวรสารที่เน้นเฉพาะ ในเรื่องคำสอนของพระเยซู แต่มีการจัดลำดับเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามแบบพระวรสารของนักบุญมัทธิว

พระวรสารของนักบุญยอห์นนี้มีเนื้อหาเน้นหนักการประกาศว่า พระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์หรือพระคริสต์ เพื่อมาไถ่บาปมนุษย์ด้วยการรับทรมานต่าง ๆ จนต่อมาได้กลับคืนชีพ และได้ส่งสาวกออกไปประกาศคำสอนพร้อมด้วยพระจิตของพระเจ้า และอำนาจในการยกบาป นักบุญยอห์นจึงเป็นพยานสำคัญที่ยืนยันความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระเยซูเจ้า

หลักคำสอนของศาสนาคริสต์

บรรดาคำสอนทั้งหลายของพระเยซูนั้นเทศนาบนภูเขา (Sermon on the Mount) เป็นคำสอนที่จัดเป็นระบบมากที่สุด และแสดงให้เห็นถึงจุดประสงค์ของพระเยซูที่มีพระประสงค์ปฏิรูปชีวิตมนุษย์ไปสู่หนทางที่ถูกต้อง อีกทั้งเป็นหลักจริยธรรมที่พระองค์ทรงมอบให้แก่มนุษย์ทุกคนได้ปฏิบัติเพื่อความสุขในโลกนี้และโลกหน้า ซึ่งควรแก่การศึกษา โดยตัดมาบางข้อพอเป็นสังเขปและจัดเรียงหัวข้อตามที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ใหม่ โดยเรียงตามลำดับดังนี้ คือ

1. ผู้เป็นสุข หรือบรมสุข 8 ประการ

คำสอนนี้มีลักษณะส่งเสริมการให้กำลังใจแก่คนทุกคน เพื่อให้พวกเขาสามารถเผชิญหน้ากับปัญหาได้อย่างไม่หวั่นไหว แม้นว่าตนเองจะรู้สึกว่ามีความบกพร่องไม่ดีพอ เป็นคนมีทุกข์โศกเศร้า เป็นคนจิตอ่อนโยน เป็นคนรักความถูกต้องเที่ยงธรรม เป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ และเป็นคนที่ถูกกลั่นแกล้งข่มเหง บุคคลเหล่านี้ย่อมได้รับอนุญาตจากพระเจ้าให้อยู่ในอาณาจักรสวรรค์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องยินดียินร้ายต่อคำนินทาว่าร้ายของผู้อื่น และไม่ต้องหวั่นเกรงต่อการข่มเหงของผู้ข่มเหงเหล่านั้น

2. เกลือแห่งแผ่นดินโลก

คำสอนนี้ต้องการให้มนุษย์ดำรงรักษาความดีงามเหมือนเกลือรักษาความเค็ม เพราะถ้าทิ้งความดีไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากเกลือที่หมดรสเค็ม ประโยชน์ที่จะพึงมีก็หมดไม่ หาคุณค่าใดไม่ได้เลย

3. ความสว่างของโลก

คำสอนนี้เป็นการส่งเสริมและให้กำลังใจแก่ผู้ทำความดีและปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างมั่นคง ความดีที่เขาทำไว้จะมีผลต่อโลกและผู้อื่น เป็นผลให้ผู้ที่เห็นความดีนั้นสรรเสริญพระเป็นเจ้าผู้เป็นพระบิดา เปรียบเหมือนกับลูกที่ดีบิดาย่อมได้รับการยกย่อง เพราะความดีของลูก

4.พระธรรมบัญญัติใหม่(The New Testament)

คำสอนนี้แสดงให้เห็นถึงเจตจำนงค์ของพระเยซูที่มุ่งชี้แจงให้บุคคลทั้งหลาย ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การเผยแพร่ศาสนาที่ได้ดำเนินอยู่นั้น มิได้เป็นไปเพื่อการล้มล้างหรือยกเลิก พระบัญญัติเดิมที่ชาวยิวได้นับถือสืบกันมาหากแต่ว่าเป็นการปฏิรูปคำสอนเดิมให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

5.ความโกรธ

คำสอนได้สะท้อนถึงข้อห้ามในพระธรรมบัญญัติเดิมที่ว่า อย่าฆ่าคน แต่พระเยซูได้มาขยายคำสอนนี้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยชี้ให้ทุกคนพึงระวังในด้านจิตใจด้วยมิใช่ระวังแต่ทางกายเพียงทางเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโกรธซึ่งเป็นอารมณ์ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ให้ผลในทางกาย การฆ่ายากที่จะเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีความโกรธ ความโกรธจึงเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ทุกคนต้องระวังอย่าให้เกิดขึ้นได้ ความในใจที่มีอยู่จะต้องปลดเปลื้องให้หมด อย่าได้ติดค้างไว้เพราะสิ่งเหล่านี้เมื่อทับถมมากเข้าจะมีผลทางกาย ในที่สุดทำให้เกิดการเข่นฆ่าทำลายล้างซึ่งกันและกัน

0 1337

Still got the blues Cover by ครูโย

สอนร้องเพลงเบื้องต้น

สอนร้องเพลงประถม – การใช้ไมโครโฟน

ครูโยสอนร้องเพลงพื้นฐานการยืน การใช้ลม การยกแก้ม

สอนร้องเพลงระดับประถมศึกษาเรื่อง การนับจังหวะในบทเพลงเพื่อให้ร้องตรงจังหวะ