ศาสนาอิสลาม

ศาสนาอิสลาม

0 8453

ประวัติศาสนาอิสลาม

     ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาที่มีผู้นิยมนับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่ง เป็นศาสนาที่แพร่หลาย ในเอเชียตะวันตก หรือตะวันออกกลาง มีลักษณะ เป็นศาสนาเอกเทวนิยม ซึ่งนับถือพระเจ้าเพียงองค์เดียว  เป็นศาสนา สายเดียวกับศาสนายิว (ยูดาย) และศาสนาคริสต์

     อิสลาม  แปลว่า  การนอบน้อม  สันติ  การยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง ดังนั้น ศาสนาอิสลาม จึงหมายถึง การนอบน้อตน ต่อพระอัลเลาะห์ เพียงพระองค์เดียวอย่างสิ้นเชิง  หัวใจของศาสนาอิสลาม ก็คือ การประกาศเปิดเผยความเป็นเอกภาพ  ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับพระอัลเลาะห์ (พระเจ้า) เน้นการมอบตัวต่อพระประสงค์ ของพระอัลเลาะห์ ผู้นับถืออิสลาม  เรียกว่า “มุสลิม”

ศาสนาอิสลามถือว่าศาสดาเป็นมนุษย์ธรรมดา  มิได้เป็นบุตรของพระเจ้า ศาสดาของศาสนาอิสลา คือ ท่านะบีมะหะหมัด หรือ มุฮำหมัด หรือ มูฮำหมัด หรือโมฮำหมัด  ส่วนคำว่า “นะบี” แปลว่า ผู้รับโองการจากพระเจ้า) ท่านศาสด เกิดที่เมืองเมกกะ  ประเทศอาหรับ (ปัจจุบัน คือ ประเทศซาอุดีอาระเบีย) เกิดวันที่  29  สิงหาคม  พ.ศ.  1113  เป็นบุตรของท่านอับดุลเลาะห์และนางอามีนะฮ์  ท่านกำพร้าบิดามารดามาแต่เยาว์วัย  เมื่ออายุ  25  ปี ได้แต่งงานกับหญิงหม้าย อายุ  40  ปี  จากนั้น ท่านได้รับอาลีบุตรชายของลุงมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม     ศาสนาอิสลาม ไม่มีพระหรือนักบวช แต่มี “อีหม่าม” ซึ่งทำหน้าที่เป็นเพียงผู้นำ ในการนมัสการพระอัลเลาะห์ ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นคนกลาง ในการติดต่อระหว่าง พระเจ้ากับมนุษย์  ศาสนาอิสลามยังมีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากศาสนาอื่น คือ นอกจากจะมีการสอนเรื่องจริยธรรมเหมือนกับศาสนาอื่นแล้ว ยังเป็นระบบการเมือง เศรษฐกิจ  และวัฒนธรรมด้วย  เช่น  บทว่าด้วยการลงโทษทางอาญา  การรับมรดก  การหย่า  การพาณิชย์  เป็นต้น

     เมื่อท่านศาสดาอายุได้  40  ปี  ได้เห็นสังคมอาหรับมีแต่ความเสื่อมโทรม ผู้คนมิได้ประพฤติตนอยู่ศีลธรรม  ท่านศาสดา เป็นคนช่างคิด  จึงมักออกไปหาความ วิเวก  ณ ถ้ำฮิรอฮ์  ห่างจากเมืองเมกกะ  3  ไมล์  คืนหนึ่งของเดือนรอมาฎอน เทพญิบรออิล ซึ่งเป็นทูตสวรรค์ ได้ยื่นโองการสวรรค์ให้แก่ท่าน  ท่านจึงคิดว่า ตนเองจิตฟั่นเฟือนไห  ต่อมาได้รับโองการสวรรค์อีก ท่านจึงได้เริ่มประกาศศาสนา

     ในคัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่า “แท้จริงศาสนาแห่งอัลเลาะห์นั้น คือ ศาสนาอิสลาม” แสดงว่า ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้า  ไม่ใช่ศาสนา ที่มนุษย์ตั้งขึ้น  คำสอนในศาสนาอิสลา ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดามูฮำหมัด พระศาสดามูฮำหมัด มิได้เป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามขึ้น  พระองค์ เป็นเพียงผู้รับเอา ศาสนาอิสลาม อันเป็นของพระอัลเลาะห์ มาประกาศเผยแพร่แก่มนุษยชาติเท่านั้น

     ศาสนาอิสลามมีคำสอนว่า  พระอัลเลาะห์ ทรงสร้างโลก และสรรพสิ่งในจักรวาล ทรงสร้างมนุษย์คู่แรกของโลก คือ อาดัมและเฮาวาฮ์ (อาดัมกับอีวา หรืออีฟ ในศาสนายิวและศาสนาคริสต์) พระองค์ได้ตรัสว่า “โออาดัม  เจ้าและพรรยาของเจ้า จงพำนักอยู่ในสวรรค์ และเจ้าทั้งสองจงกินของในนั้นได้อย่างสมบูรณ์ และไม่ต้องหวงห้าม  ตามที่เจ้าทั้งสองต้องการ  แต่จงอย่าเข้าใกล้ต้นไม้นี้ เพื่อเจ้าทั้งสอง จะได้ไม่เป็นพวกทรยศ”  แต่แล้วมารร้าย ก็ได้ใช้อุบายหลอกลวง ให้มนุษย์ทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งห้ามของพระผู้เป็นเจ้า  พระอัลเลาะห์ จึงทรงขับไล่ อาดัม และเฮาวาฮ์ไม่ให้อยู่ในสวรรค์  ให้ลงมาอยู่  ณ หน้าแผ่นดิน พระผู้เป็นเจ้า ทรงส่งพระศาสนทูต (รอซูล) ลงมาสั่งสอนมนุษย์เป็นครั้งคราว ผู้ที่ได้รับมอบหมาย จากพระอัลเลาะห์ให้มาเป็นพระศาสนทูต  นับแต่อาดัม ซึ่งถือว่าเป็นพระศาสนทูต คนแรก จนถึงพระศาสดามูฮำหมัด ศาสดาคนสุดท้าย มีจำนวนมากด้วยกัน  แต่ที่ระบุชื่ออยู่ในพระคัมภีร์อัลกรุรอานนั้น มี 25 ท่าน ในจำนวนนี้ ที่จัดว่าเป็น พระศาสนทูต  มี  5  ท่าน คือ

  1. นูห์  หรือโนอา
  2. อิบรอฮิม หรืออับราฮัม
  3. มูซา หรือโมเสส (ศาสดาของศาสนายิว)
  4. ฮีซา หรือเยซู (ศาสนดาของศาสนาคริสต์
  5. มูฮำหมัด (ศาสดาของศาสนาอิสลาม)

     ศาสนาอิสลาม ยอมรับคัมภีร์โตราห์หรือคัมภีร์เก่าของยิว ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า ประทานแก่พระศาสดามูซา (โมเสส)  และเรียกคัมภีร์โตราห์ว่า “พระคัมภีร์เตารอด” และยอมรับคัมภีร์พระคริสต์ธรรมใหม่  เฉพาะ  4  เล่มแรก ที่เรียกว่า Gospel (พระวรสาร) ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า ประทานแก่พระศาสดาอีซา (เยซู) และเรียกคัมภีร์ ของคริสต์ว่า “พระคัมภีร์อินญีล” ดังปรากฏ ในพระคัมภีร์อัลกุรอาน บทที่ 3 : 3 ว่า พระองค์ทรงประทานคัมภีร์ (อัลกุรอาน) ให้ทยอยลงมายังเจ้าโดยสัจธรรม เป็นสิ่งยืนยันคัมภีร์ ที่มีมาก่อน และพระองค์ได้ประทาน (คัมภีร์) เตารอด และอินญิล ลงมาเพื่อกาลก่อน เป็นสิ่งชี้นำแก่มวลมนุษยชาติ และพระองค์ได้ทรงประทานคัมภีร์ จำแนก (ความจริงออกจากความทุกข์) คือ คัมภีร์อัลกุรอาน

การประกาศศาสนาในนครเมกกะ ช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก ต้องทำกันอย่างเร้นลับ และเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะคนบางกลุ่มเสียผละประโยชน์ และบางคนไม่พอใจท่านศาสดา ที่สอนว่า การบูชารูปเคารพ เป็นสิ่งงมงาย ท่านนะบี จึงถูกปองร้าย ท่านจึงอพยพมาอยู่เมือง ยัทริบ (ต่อมาเปลี่ยนเป็นชื่อเมืองเมดินา) การอพยพครั้งนี้ ตรงกับวันที่ 2 กรกฎาคม  พ.ศ. 1165 (ค.ศ. 622) ถือเป็นการเริ่มต้นของฮิจเราะห์ศักราชอิสลาม (ซึ่งก็คือศักราชของอิสลาม) แม้จะพำนักที่เมืองเมดินา  แต่กองทัพเมืองเมกกะ ก็ยังรุกรานอยู่ ต่อมาท่านนะบี ได้เป็นผู้ปกครองเมืองเมดินา สงครามระหว่างเมืองเมกกะกับเมืองเมดินา ก็เกิดขึ้นหลายครั้ง  จนกระทั่ง  พ.ศ. 1173  ท่านได้ยาตราทัพเข้าเมืองเมกกะ โดยไม่มีการสู้รบ ศาสนาอิสลาม จึงได้สถาปนาขึ้นในเมืองเมกกะ และสถาปนา อาณาจักรของชาวอาหรับขึ้น ท่านนะบี ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 1175  ตรงกับฮิจเราะห์ศักราชที่  11  รวมอายุ  63  ปี  และเผยแพร่ศาสนาอิสลามได้ 23 ปี     ศาสนาอิสลา ถือว่า โมเสสและพระเยซู เป็นผู้ที่พระอัลเลาะห์ ทรงใช้ให้มาก่อน และถือว่าพระศาสดามูฮำหมัด ที่ทรงใช้ให้มาในคราวหลังนี้ เป็นผู้นำพระคัมภีร์ ฉบับสุดท้าย  เป็นพระคัมภีร์ที่ประมวลเอาเนื้อความแห่งพระคัมภีร์ต่าง ๆ  ที่ประทาน แก่ศาสนทูตในอดีตไว้ด้วย  คัมภีร์อัลกุรอาน จึงเป็นพระคัมภีร์ที่สมุบูรณ์ ไม่มีการแก้ไข

     ท่านะบีมูฮำหมัด เป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย  ไม่ถือยศศักดิ์  อยู่ง่ายกินง่าย (แม้กระทั่งเสื้อผ้าและรองเท้า จะซ่อมแซมเอง) อดทน มีจิตใจเข้มแข็ง  รักความยุติธรรม มีบุคลิกน่าเลื่อใส  ฯลฯ  จากคุณสมบัติที่ดีเลิศ  จึงทำให้การ เผยแพร่ศาสนาอิสลาม เป็นไปอย่างราบรื่น  แม้จะมีอุปสรรคนานัปการก็ตาม