ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นบทเรียนสำหรับพระสงฆ์ นักบวช และผู้เป็นบิดามารดา ฉลองวันที่ 4 สิงหาคม
ความศักดิ์สิทธิ์ของท่านเป็นบทเรียนสำหรับพระสงฆ์ นักบวช และผู้เป็นบิดามารดา ฉลองวันที่ 4 สิงหาคม ยีน มารีย์ บัปติสต์ เวียนนีย์เป็นคนที่ศรัทธาในศาสนกิจอย่างเหนือธรรมชาติ เขาได้ทำทุกสิ่งเพื่อ ถวายพระเกียรติมงคลและพระสิริโรจนาแด่พระเป็นเจ้า โดยการกอบกู้วิญญาณของเพื่อนมนุษย์ ตั้งแต่อายุยังน้อยเขาได้ประพฤติตนอย่างศักดิ์สิทธิ์ และดื่มด่ำในความศักดิ์สิทธิ์ตลอดเวลา ทุกคำพูดที่ออกจากปากของเขาเป็นวาจาแห่งความศรัทธาในพระศาสนา เขาได้บรรลุความสำเร็จในการงาน ใครก็ตามจะเลียนแบบเขาได้ยากมาก อิทธิพลของเขาได้ผลิดอกออกผลจนเราไม่อาจมองข้าม เขาได้ชนะใจคนที่ดูหมิ่น สบประมาท และเยาะเย้ยเขาแม่ของนักบุญยอห์นเวียนนีย์เป็นหญิงที่มีความศรัทธาล้ำเลิศ และได้นำเขาเข้าสู่วิถีทางศาสนาตั้งแต่เยาว์วัย พระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์ได้พูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นหนี้บุญคุณคุณแม่” และเสริมว่า “คุณธรรมความดีออกจากแม่ง่ายดายเข้าสู่ดวงใจของลูกๆ ผู้ซึ่งเต็มใจทำสิ่งที่เขาทั้งหลายเห็นแม่กำลังทำอยู่” นักบุญยอห์นเป็นแบบอย่างของมารดาศรัทธา ที่ตำตาผู้ชาย และประทับใจเขาทั้งหลายชั่วชีวิต เขาเป็นเด็กชายที่มีอารมณ์แจ่มใส ตาสีฟ้า และผมสีน้ำตาล เมื่อเขามีอายุมากแล้ว เขายอมรับว่า “เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กหนุ่ม ข้าพเจ้าไม่รู้จักความชั่วร้าย ข้าพเจ้าได้คุ้นเคยกับมัน เป็นครั้งแรกในที่สารภาพบาป จากปากของคนบาป” หลังจากนักบุญยอห์นเวียนนีย์ได้ศึกษาเล่าเรียนด้วยความยากลำบาก และฟันฝ่าอุปสรรคนานาชนิดเขาจึงได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ และประสบความสำเร็จในการงานอภิบาลสัตบุรุษ ซึ่งพระสงฆ์หลายๆองค์ก็ไม่สามารถทำได้ สวรรค์ได้ประทานพระพรนี้แก่นักบวชเพียงไม่กี่องค์ สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่ ทีละเล็ก ทีละน้อย อาร์ หมู่บ้านเล็กๆ ค่อยๆเปลี่ยน ชาวบ้านไม่อาจดำรงชีพต่อไป โดยปราศจากพระหรรษทาน ที่ฉายแสงออกมาจากความศักดิ์สิทธิ์ของพระสงฆ์องค์นี้ เขาได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้าว่า จุดมุ่งหมายเบื้องต้นของเขาก็คือ เขาจะต้องอบรมสั่งสอนสัตบุรุษให้เข้าใจว่า การละเลยความเชื่อเป็นพื้นฐานแห่งการหละหลวมในจริยธรรม เขาได้เทศน์จากธรรมาสน์ว่า “เรามั่นใจว่า บาปนี้เป็นต้นเหตุแห่งการการสูญเสียวิญญาณมากกว่าบาปอื่นๆรวมกัน เพราะคนที่ละเลยไม่ตระหนักถึงภัยอันตรายจากบาปที่เขาได้ทำ หรือคุณความดีต่างๆที่ถูกริบรอนไปจากเขา″ นักบุญองค์นี้ได้พิจารณาเห็นอย่างเหมาะสมว่า การละเลยเป็นบาปชนิดหนึ่ง ปัจจุบันนี้เราคิดบ่อยๆว่า มันทดแทนคุณความดีได้ และเป็นวิธีการกอบกู้วิญญาณ ในบทเทศน์แรกๆ เขาได้โจมตี ดังสนั่น ก้องกังวาล พยศชั่วร้ายของหมู่บ้านอาร์: การออกนามของพระเป็นเจ้าโดยไม่สมเหตุ, การใช้คำพูดหยาบคาย, การทำให้วันอาทิตย์ วันพระเจ้า หมดความศักดิ์สิทธิ์, การเต้นรำและการชุมนุมกันที่ร้านขายเครื่องดื่มมึนเมา, และการร้องเพลงและสนทนา เรื่องผิดต่อความบริสุทธิ์ เขาได้อธิบายว่า: “ร้านขายสุราเป็นการค้าของผีปิศาจ เป็นโรงเรียนที่นรกสอนข้อความเชื่อของมัน เป็นตลาดที่ซึ่งปิศาจซื้อขายวิญญาณ เป็นสถานที่ซึ่งครอบครัวแตกแยกกัน สุขภาพทรุดโทรม การทะเลาะเบาะแว้งเริ่มต้นขึ้น แล้วก็การฆ่ากันตาย” นักบุญยอห์นมารีย์ไม่เคยคิดว่าหมู่บ้านอาร์จะกลับใจจนกระทั่งชาวบ้าน 200 คนเจริญชีวิต ตามพระบัญญัติ 10 ประการของพระเป็นเจ้าและกฎข้อบังคับ 6 ประการของพระศาสนจักร และทำหน้าที่ในชีวิตนี้อย่างครบถ้วน สิ่งเหล่านี้เป็นการขอร้องมากเกินไปสำหรับแลกเปลี่ยนกับเมืองสวรรค์หรือ? การจูงใจคนมาถือพระบัญญัติประการที่ 3 ใช้เวลานานถึง 8 ปี เขาได้เปรียบเทียบให้สัตบุรุษฟังว่า: “ท่านทำงานตรากตรำ แต่ผลงานที่ท่านได้รับ คือ ความหายนะของวิญญาณและร่างกายของท่านเอง ถ้าเราถามคนที่ทำงานในวันอาทิตย์ว่า: “ท่านกำลังทำอะไรอยู่?” เขาอาจตอบว่า: “ข้าพเจ้ากำลังขายวิญญาณของข้าพเจ้าให้กับผีปิศาจ และตรึงพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน … ข้าพเจ้ากำลังดิ่งลงนรก” เมื่อข้าพเจ้ามองเห็นคนกำลังเข็นรถบรรทุกของ ดูเหมือน ข้าพเจ้ามองเห็นเขากำลังบรรทุกวิญญาณของเขาบนถนนตรงไปนรก” ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อาชญากรรมร้ายแรงที่ทำให้นักบุญองค์นี้ต้องหลั่งน้ำตา คือ เมื่อเขาได้ยินคนออกพระนามพระเยซูเจ้าโดยไม่สมเหตุ เขามักพูดเสมอว่า คนพูดเช่นนั้นไม่ถูกฟ้าผ่าตายคาที่ ณ จุดนั้นก็เป็นมหัศจรรย์น่าพิศวงยิ่งนัก แต่เขาได้เตือนคนเหล่านั้นว่า: “ถ้ามีการหมิ่นประมาทพระนามของพระเป็นเจ้าในบ้านของท่าน ในไม่ช้าบ้านนั้นก็จะหายนะ” การแต่งตัวให้เรียบร้อยเป็นสิ่งจำเป็น และสำคัญที่สุด ไม่ใช่เพียงเพื่อมาวัดเท่านั้น แต่ต้องเป็นการปฏิบัติตลอดเวลาจนติดเป็นนิสัย ไม่ควรสวมเสื้อคอต่ำหรือเปลือยแขน นักบุญยอห์นเวียนนีย์ใช้เวลา 10 ปีเต็มในการเปลี่ยนแปลงความประพฤติของหมู่บ้านอาร์ ซึ่งเป็นที่สังเกตเห็นได้อย่างเด่นชัด จนคนนอกหมู่บ้านได้ปฏิบัติตามด้วย ในวันอาทิตย์ไม่มีการทำงานอีกเลย วัดแน่นขนัด สัตบุรุษเพิ่มขึ้นทุกปี ความมึนเมาได้อันตร ธานหายไป ในที่สุดร้านขายสุราต้องปิดกิจการเพราะขาดลูกค้า แม้แต่การมีปากมีเสียงในครอบครัวได้ลดน้อยลง ความซื่อสัตย์ได้กลายเป็นอุปนิสัยพื้นฐานของชาวบ้าน นักบุญยอห์นเวียนนีย์ได้เขียนว่า: “หมู่บ้านอาร์ไม่ใช่หมู่บ้านอาร์อีกต่อไปแล้ว” เพราะได้เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดถอนรากถอนโคน ภายใต้ตัวอย่างอันดีงาม คำแนะนำ อบรม สั่งสอนของเขา หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ได้กลายเป็นชุมนุมชนของคนศรัทธา ที่นั่นเขาได้ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ทุกวันเขาสอนคำสอนแก่เด็กๆ หลังจากนั้นไม่นานผู้ใหญ่ก็มาขอเรียนด้วย และเขาได้พบว่าผู้ใหญ่ ที่เป็นเด็กในสมัยปฏิวัติ ไม่มีความรู้เรื่องศาสนหน้าที่ของตนเลย เขาได้สอนคนให้รักการสวดลูกประคำ และพกสายประคำติดตัวตลอดเวลา น่าพิศวงจริงๆ เราลองหวนคิดถึงสิ่งที่นักบุญเวียนนีย์และคณะผู้ช่วยของเขาสามารถบรรลุผลสำเร็จในหมู่บ้านในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี คนที่เคยทำให้คนขี้เมากลับใจเพียงสองสามคน จะต้องชื่นชมยินดีกับเขา ผู้ซึ่งได้ทำงาน ด้วยความเพียรพยายามอย่างไม่ย่อท้อจนถึงที่สุด คำอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงอันลึกลับมหัศจรรย์นี้ของหมู่บ้านอาร์ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่า พระสงฆ์องค์นี้ได้ตระหนักดีว่า ทุกสิ่งต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน แล้วการเกิดใหม่ของชุมนุมชนก็จะตามมา โดยการฟื้นฟูชีวิตทางจิตวิญญาณ เราไม่อาจหวังอะไรจากคนที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ด้วยความคิดเห็นเช่นนี้ นักบุญยอห์นเวียนนีย์ได้เริ่มงานขั้นแรกที่ตัวเอง เพื่อเขาจะได้บรรลุผลงานอันสูงส่งในสัตบุรุษโดยอาศัยตัวของเขาเป็นแบบอย่าง เขาได้ทำศาสนกิจอย่างจริงจัง และไม่สนใจว่าคนจะสังเกตเห็นหรือเปล่า และในที่สุดคนที่อยู่ในหมู่บ้านอาร์ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “พ่อเจ้าวัดของเราทำทุกสิ่งที่ท่านพูด ท่านประพฤติตนตามที่ท่านอบรมสั่งสอนสัตบุรุษ ไม่มีใครเคยเห็นท่านทำอะไรออกนอกลู่นอกทาง” พระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์เคร่งครัดในการถือศีลอดอาหาร โดยวิธีนี้ เขามีสิ่งยังชีพเพียงเล็กน้อย อาหารมื้อเดียวก็พอประทังชีวิตไปได้ 1 วัน เขาไม่แตะต้องของมึนเมา ยกเว้นเหล้าองุ่นในเวลาถวายมิสซา และรับประทานขนมปังสีดำเล็กๆเพียงก้อนเดียว และมันฝรั่ง 1 หรือ 2 ผลต้มในน้ำเดือด เขาจะเตรียมอาหารพอกินไปได้ 1 สัปดาห์ และเก็บมันไว้ในหม้อดินเผา บ่อยครั้ง อาหารได้ขึ้นรา เขาอดอาหารอย่างสม่ำเสมอตลอดวัน จนกระทั่งร่างกายของเขาทรุดโทรม หมดเรี่ยวแรง ด้วยการเจริญชีวิตแบบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องมีแม่บ้านเลย เพราะบ้านพักของเขาว่างเปล่า ไม่มีของมีค่า เนื่องจากเขาพิเคราะห์เห็นว่า การทำพลีกรรมต่อตัวเองยังไม่เพียงพอ เขามีเสื้อสำหรับใช้โทษบาปโดยเฉพาะ ซึ่งเขาใส่แนบเนื้อ มันเสียดสีกับร่างกายของเขาตลอดเวลา ในไม่ช้าผิวหนังของเขาเปลี่ยนสีเป็นน้ำตาลอมแดง เมื่อเขาไม่ได้นอนบนกองฟืนในห้องเก็บของชั้นล่างสุด เขาก็นอนบนฟูกเปล่าๆ ด้วยแส้ที่ผูกปลายเชือกกับเศษเหล็ก ซึ่งเขาใช้จนสึกหรอภายใน 2 อาทิตย์ เขาเฆี่ยนคอเปลือยเปล่าของเขาอย่างไม่ปราณีปราใส ทุกๆวัน จนกระทั่งโลหิตกระเด็นออกจากผิวหนัง ตัวเขาทรุดลงบนพื้น และร้องครวญคราง แน่นอนการทำพลีกรรมของนักบุญยอห์นเวียนนีย์ ซึ่งชาวโลกถือว่าเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญา เป็นการปฏิบัติตามพระวาจาของพระเยซูเจ้า พระอาจารย์ของเราทรงสอนว่า: “การขับไล่ผีปิศาจชนิดนี้ จะต้องทำด้วย การสวดภาวนา และ ถือศีลอดอาหาร” (Matthew 7:20) นักบุญยอห์นไม่ได้เฆี่ยนตัวเองเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน เขาได้ทำกิจใช้โทษบาปแทนคนบาป วิธีนี้เป็นการชดเชยบาปสำหรับเพื่อนมนุษย์ พระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์ได้พูดกับคนที่มาขอรับศีลอภัยบาปว่า “เพื่อนรัก นี่คือ ยารักษาโรควิญญาณของท่าน ข้าพเจ้าจะให้ท่านใช้โทษบาปเพียงเล็กน้อย และข้าพเจ้าจะใช้โทษที่เหลือแทนท่านเอง” การใช้โทษบาปแทนสัตบุรุษในเขตวัดของท่าน คือ จุดมุ่งหมายยิ่งใหญ่ในการทำพลีกรรมอันน่ากลัวของเขา เมื่อไรก็ตาม ใครพิจารณาดูรอยเลือดบนกำแพงในห้องนอนของนักบุญยอห์นเวียนนีย์ และรำพึงซ้ำแล้วซ้ำอีก จะเข้าใจทันทีว่า นี่คือ การไขปริศนาอันลึกลับมหัศจรรย์แห่งการฟื้นฟูชีวิตฝ่ายจิตของหมู่บ้านอาร์ ซึ่งถูกค้นพบในห้องแห่งความทรงจำ ที่ซึ่งพระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ต่อสู้กับการใช้โทษบาปแทนเพื่อนมนุษย์อย่างมานะบากบั่นที่สุด และผลจากการทรมานร่างกายของเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของทุกคนในหมู่บ้านโดยสิ้นเชิง พระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์ต้องการบรรลุจุดมุ่งหมายอันที่สอง การเลียนแบบประชากรศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า ในสมัยเป็นเณร วิชาที่นักบุญยอห์นเวียนนีย์ชอบที่สุด คือ ประวัตินักบุญ ซึ่งเขาได้ใช้เวลาศึกษาอย่างแตกฉาน เขาประทับใจมากในชีวิตของนักบุญแต่ละองค์ จนเขาปรารถนาให้ตัวเองและคนอื่นๆ เหมือนท่านเหล่านั้น อุดมคติแห่งความศักดิ์สิทธิ์เป็นความปลาบปลื้มยินดีของเขา เรื่องนี้อยู่ในบทเทศน์ของเขาเสมอ เขาได้พูดจากธรรมาสน์ว่า “เราจะต้องฝึกฝนการทำพลีกรรมเพราะนี่เป็นวิธีซึ่งนักบุญทั้งหลายได้ปฏิบัติกัน” เขาได้ทุ่มเทชีวิตจิตใจในการนำคนไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ โดยการพลีกรรมส่วนตัว “ถ้าเราไม่เป็นนักบุญในเวลานี้ ก็เป็นโชคร้ายอันยิ่งใหญ่ของเรา เพราะฉะนั้นเราจะต้องเป็นนักบุญให้ได้ ตราบใดที่ไม่มีความรักในดวงใจของเรา เราจะเป็นนักบุญไม่ได้” สำหรับเขา นักบุญไม่ใช่มนุษย์พิเศษสุด ผู้ซึ่งเราชื่นชมในมหัศจรรย์ แต่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้สำหรับคาทอลิกทุกคน ในเวลาเทศน์เขาได้ประกาศเสียงดังฟังชัดว่า: “การเป็นคริสตชนและดำรงชีวิตในบาปเป็นการขัดแย้งกันอย่างน่าเศร้าสลดใจ คริสตชนต้องเป็นคนศักดิ์สิทธิ์” ด้วยความรู้แบบคริสตชนธรรมดาสามัญ เขาได้รำพึงและเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งจากการดลใจของพระจิตเจ้า ในขณะที่สิ่งเหล่านี้ไม่ไปที่เข้าใจของคนที่มีความรู้สูง เขาได้ดึงความสนใจของสัตบุรุษไปยังความจริงที่ว่า ในพระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวถึงมหัศจรรย์ซึ่งนักบุญยอห์น เดอะ บัปติสท์ พระนางพรหมจารีมารีอา หรือนักบุญยอเซฟได้ทำ “เหตุฉะนี้ ท่านเห็นแล้วว่าความศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่การทำมหัศจรรย์ แต่อยู่ที่การนบนอบพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าสิ้นสุดดวงใจ การปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ และการทำตามน้ำพระทัยของพระองค์สำหรับเราแต่ละคน” พระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์มีจุดมุ่งหมายเพียงอันเดียว คือ การเลียนแบบนักบุญทั้งหลาย ดูเหมือน สิ่งอื่นหมดความหมายสำหรับเขา เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งนี้: “เราต้องยึดมั่นในความจริงที่ว่า เราเป็นนักบุญหรือคนบาป เราต้องดำรงชีวิตเพื่อสวรรค์หรือนรก ไม่มีทางสายกลางในเรื่องนี้” นักบุญ ยอห์น เวียนนีย์ เองได้กระเถิบเข้าใกล้ความเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุกขณะ และคนในหมู่บ้านอาร์เริ่มหูตาสว่างและยอมรับอย่างน่าชื่นตาบานว่า: “พระสงฆ์ของเราเป็นนักบุญ!” และต่อหน้านักบุญ ไม่ใช่คนบ้าศาสนา ที่เขาทั้งหลายยอมกลับใจ ความศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญ ที่ซ่อนอยู่ในคุณพ่อเวียนนีย์ ได้นำการฟื้นฟูจิตวิญญาณมายังหมู่บ้านอาร์ ครั้งหนึ่งชาวนาได้พูดว่า: “โอ้ พวกเราไม่แตกต่างจากคนอื่นเลย แต่เราละอายใจที่จะทำบาปโดยมีนักบุญอยู่ท่ามกลางเรา″ ทั้งหมู่บ้านได้กลับใจ เหตุการณ์นี้ไม่ธรรมดาและปกปิดไว้ไม่อยู่ จากปี 1827 เป็นต้นไป คณะนักแสวงบุญผู้มีชื่อเสียงได้เริ่มเข้ามาในหมู่บ้านอาร์ คนจากประเทศน์เบลเยี่ยม อังกฤษ แม้แต่อเมริกา และทุกภาคของฝรั่งเศสได้เดินทางมายังหมู่บ้านอาร์ สิ่งที่ดลบันดาลให้ฝูงชนผู้แสวงบุญมาหาพระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์ คือ ความปรารถนาในการสารภาพบาปกับเขา และรับคำแนะนำทางจิตวิญญาณจากเขา นี่คือแรงผลักดันให้เขาทั้งหลายมายืนเข้าแถว ณ ที่แก้บาปของเขา เพื่อขอพบ เพียงครั้งเดียวในชีวิต พระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์ผู้ซึ่งสามารถล่วงรู้ทุกสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในวิญญาณ และมีญาณพิเศษมองเห็นวิญญาณมนุษย์ด้วยตาเปล่า พระหรรษทานนี้เป็นพระพรที่พระเป็นเจ้าได้ประทานแก่เพียงไม่กี่คน เขาไม่เคยอยากรู้อยากเห็นความผิดของคนอื่น เขาไม่เคยมีนิสัยสอดรู้สอดเห็น นักบุญฟรังซิส เดอะ ซาลส์ก็มีพรสวรรค์ในการ “แลเห็นทุกสิ่งโดยไม่ต้องมองเห็นใคร” ในการฟังแก้บาป พระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นี้ ผู้ซึ่งมีความรู้เรื่องบาป ขั้นพื้นฐาน ได้เพียรพยายามต่อสู้เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้น การกอบกู้วิญญาณ นี่คือความปรารถนาอันเร่าร้อนของเขา ด้วยเหตุนี้ เขาต้องทนทรมานขังตัวอยู่ในที่สารภาพบาปเล็กๆแคบๆ ทั้งวันเป็นเวลาหลายชั่วโมงติดต่อกัน นักบุญผู้ยิ่งใหญ่นี้ฟังแก้บาปวันละ 13 ถึง 17 ชั่วโมง และสามารถบอกบาป ที่คนบาปได้หน่วงเหนี่ยวไว้ เพื่อช่วยวิญญาณรอดไปสวรรค์ พระสงฆ์แห่งหมู่บ้านอาร์ต้องมีความรักศักดิ์สิทธิ์ต่อเพื่อนมนุษย์ในดวงใจของเขา บ่อยครั้งเขาได้ร้องไห้ในที่สารภาพบาป เมื่อใครถามว่าทำไมเขาจึงร้องไห้ เขาตอบว่า: “เพื่อนรัก ข้าพเจ้าร้องไห้เพราะท่านไม่ได้ร้องไห้” ยอห์นเวียนนีย์มีพรสวรรค์เข้าถึงวิญญาณของมนุษย์ในพริบตาเดียว โดยไม่ต้องมีการสาธยายเป็นเวลานาน และรู้สึกได้ทันทีความเดือดร้อนที่วิญญาณกำลังประสบอยู่ เขาได้มองเห็นภาพอย่างชัดเจน ซึ่งช่วยเขาบอกคนที่มาสารภาพบาป เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต พระพรจากเบื้องบนนี้ได้ปกคลุมประชากร ผู้ซึ่งมาพบเขาและรับการยกบาปในที่สารภาพบาปของเขา คำพูดและคำแนะนำของท่านคูรีเป็นเหมือนลูกดอกปักลึกลงไปในดวงใจของเขาทั้งหลาย เขาพูดน้อย แต่การพูดน้อยๆก็เพียงพอแล้ว พระสงฆ์องค์หนึ่งได้บ่นให้ฟังว่า สัตบุรุษในเขตวัดของเขามีจิตใจเย็นเฉย นักบุญยอห์นได้ตอบเขาว่า: “ท่านได้เทศน์แล้ว สวดภาวนาแล้ว แต่ถือศีลอดอาหารหรือยัง” ทำพลีกรรมบนร่างกายหรือยัง? (การเฆี่ยนตัวเอง) นอนบนพื้นหรือยัง? ตราบใดที่ท่านยังไม่ได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ ท่านไม่มีสิทธิบ่น” มารดาคนหนึ่ง ผู้ซึ่งมีครอบครัวใหญ่ ตั้งครรภ์จะมีลูกอีกคน เขาได้พูดกับเธอด้วยความอ่อนโยน และปลอบใจเธอ เหมือนบิดาสนทนากับบุตรสาว ว่า: “ลูกรักของพ่อ อย่ากังวลใจ จงมีสันติสุขในจิตใจ ถ้าลูกเพียงแต่ทราบว่า หญิงหลายคนจะต้องตกนรก เพราะเขาทั้งหลายไม่ยอมคลอดเด็กเหล่านั้นออกมา ผู้ซึ่งเขาทั้งหลายเป็นผู้ให้กำเนิด” ในปี 1925 พระสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งหมู่บ้านอาร์ได้รับเกียรติสูงสุด พระศาสนจักรได้สถาปนาเขาเป็นนักบุญ ชีวิตของนักบุญยอห์นเวียนนีย์เป็นเรื่องของพระสงฆ์สุภาพถ่อมตนและศักดิ์สิทธิ์ ผู้ซึ่งเกือบจะไม่ได้บวชเป็นพระสงฆ์ และเขาได้ทำให้คนบาปจำนวนพันๆกลับใจ หลายครั้งผีปิศาจได้ทำร้ายเขา และจุดไฟเผาเตียงของเขา ครั้งหนึ่งปิศาจได้เปิดเผยให้นักบุญฟังว่า: “ถ้ามีพระสงฆ์อย่างแก 3 คนทำงานแบบนี้ในสมัยเดียวกัน อาณาจักรของข้าต้องพังพินาศหมด” เมื่อเขาได้หมดลมหายใจในปี 1859 หนึ่งแสนคนได้มาเที่ยวอาร์ หมู่บ้านเล็กๆในประเทศน์ฝรั่งเศส ปัจจุบันนี้ประมาณ 500,000 คนมาแสวงบุญที่เมืองกสิกรรม เพื่อชมร่างกายไม่เน่าเปื่อยเหมือนคนกำลังนิทราของนักบุญยิ่งใหญ่องค์หนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร ในปี 1929 พระสันตะปาปาปิโอที่ 11 ได้แต่งตั้งนักบุญยอห์น เวียนนีย์เป็นองค์อุปถัมภ์พระสงฆ์ ชุมพาบาล เรื่องนี้เชิญชวนเรารำพึงอีกครั้งหนึ่งว่า: พระสงฆ์ทุกองค์สามารถเล่าเรียนปรีชาญาณอันไม่มีขอบเขตจากชีวิตและคำพูดของนักบุญยอห์นเวียนนีย์ เพราะจะไม่มีอีกแล้วหลักการพื้นฐานที่ดีกว่านี้: “พระสงฆ์จะต้องไม่ปล่อยให้ความคิดเข้าไปครอบงำตัวเองว่า เขาไม่สามารถทำอะไรในเขตวัดของเขา ไม่ว่าเขาได้ฟันฝ่าอุปสรรคมากแค่ไหนก็ตาม และไม่ว่าความเพียรพยายามของเขาไม่ได้ประสบผลสำเร็จก็ตาม หรือเขาจะต้องไม่คิดว่า เขาได้ทำงานเพียงพอแล้ว ไม่ว่าเขาได้ตรากตรำมากแค่ไหนก็ตาม” นักบุญยอห์นเวียนนีย์ โปรดวิงอนเพื่อคนบาปทั้งมวลในโลก ให้เราภาวนา ศึกษาประวัตินักบุญแต่ละองค์อย่างแตกฉาน และเป็นตัวอย่างอันดีงาม นักบุญไม่ใช่มนุษย์พิเศษ ที่ทำมหัศจรรย์ แต่เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่ทำตามน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า อาแมน |